ในช่วงกลางราชวงศ์ชิงประมาณปี ค.ศ.1700 ชาวต่างประเทศจากยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เริ่มมาค้าขายกับจีนโดยขายฝ้ายมาให้จีนเป็นหลัก ส่วนจีนมีสินค้า เช่น กระเบื้อง ชา กระดาษ ซึ่งเป็นที่ต้องการของประเทศแถบยุโรปมาก

แต่เนื่องจากต่อมายุโรปขาดดุลการค้ามาก จึงเริ่มเอาฝิ่นที่ปลูกที่อินเดียมาขายให้จีน ทำให้คนจีนติดฝิ่นอย่างหนัก ทั้งในราชสำนัก ข้าราชการทหาร ประชาชน เกิดเป็นปัญหาในการปกครองประเทศ และแม้ว่าราชสำนักจะเริ่มจำกัดการนำเข้าฝิ่นจากยุโรปก็ไม่สำเร็จ

เพราะข้าราชการคอร์รัปชัน ลักลอบร่วมมือต่างประเทศนำเข้าเพิ่ม กลุ่มกบฏชาวจีนจึงร่วมกันเผาฝิ่นจำนวนมากในโกดังเก็บฝิ่นของชาวยุโรปจนเสียหายจำนวนมาก

ทหารยุโรปจึงถือโอกาสส่งกองเรือกำลังทหารมาปราบกบฏและรัฐบาลจีน ที่เรียกว่าสงครามฝิ่น โดยคร่าวๆ สงครามฝิ่นเกิดขึ้น 2 ครั้ง ประเทศจีนพ่ายแพ้สงครามทั้ง 2 ครั้ง ทำให้ประเทศจีนเสียหายอย่างหนัก ประเทศจีนต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินมหาศาล

และยังเสียสิทธินอกอาณาเขต เสียดินแดนที่เคยปกครอง เช่น เกาหลี เวียดนาม มองโกเลียนอก ไต้หวัน ทิเบต ซิงเกียง เสียเขตปกครองทางเหนือ เช่น มณฑลซานตง เทียนจิง เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง กวางสี เป็นต้น เป็นดินแดนกว้างขวางสุดบรรยาย

...

พระราชวังปักกิ่งถูกเผาและวัตถุโบราณถูกปล้นไปเกือบหมด คนจีนถูกห้ามเข้าเขตปกครองตนเองในดินแดนจีนที่ยกให้ชาวต่างประเทศ 8 ประเทศ (อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย ญี่ปุ่น โปรตุเกส อิตาลี สเปน)...ชาวจีนถูกกระทำทารุณ อดสู เสียศักดิ์ศรี ถูกป้ายห้ามเข้าดินแดนสิทธินอกอาณาเขต เป็นช่วงที่ประเทศจีนระส่ำระสาย อ่อนแอ ยากลำบาก จนสุดบรรยาย

น่าสังเกตว่าช่วงเกิดสงครามฝิ่น 2 ครั้งนั้น ประเทศ 8 ประเทศที่ส่งกองเรือเดินทางมาจากยุโรปมารุกรานจีนทางเรือตามชายฝั่งติดทะเลจีนนั้น มาจากเรือปืน ไม่มีเครื่องยนต์เป็นสิบๆลำ มีกำลังทหารไม่น่าถึงแสนคน แต่สามารถเอาชนะประเทศจีนที่มีประชากร

ทั้งประเทศในขณะนั้นประมาณ 400 ล้านคนได้

หากผู้นำประเทศเข้มแข็ง มีความสามัคคี ข้าราชการไม่คอร์รัปชันแล้วไซร้ เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ได้เลย…

ตลอดเวลา 200 ปี ที่ราชวงศ์ชิงครอบครองจีนนั้น มีประชาชนหลายกลุ่มพยายามก่อกบฏหลายครั้งเพื่อจะล้มราชวงศ์ชิง แต่ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งต้นปี 1900 ด็อกเตอร์ซุนยัดเซ็น เป็นผู้นำในการก่อการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ เนื่องจากประชาชนโกรธแค้นราชวงศ์และชาวต่างชาติอย่างมากจึงสามัคคีกัน ยอมสละชีวิตออกทำการโค่นล้มจนสำเร็จ สามารถตั้งพรรคก๊กมินตั๋งในปี 1918 ประกาศให้จีนเป็นระบบสาธารณรัฐ

โดยมี ดร.ซุนยัดเซ็น เป็นประธานาธิบดีคนแรกของจีน แต่อยู่เพียงช่วงสั้นๆก็เสียชีวิต จึงมีการแย่งชิงอำนาจกันอีก จนในที่สุดลูกน้องของ ดร.ซุนยัดเซ็นชื่อ เจียงไคเช็กได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อมา

ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งในปี 1921 โดยมีรัสเซียเป็นต้นแบบพี่เลี้ยงสนับสนุนเมาเซตุง ซึ่งแต่เดิมอยู่ในพรรคก๊กมินตั๋ง ย้ายมาอยู่พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะเจียงไคเช็กไม่ปฏิบัติตามหลักการ ( 三民主義) อันโด่งดังที่จะทำเพื่อประชาชนผู้ยากไร้ แต่เจียงไคเช็กกลับต้องการปกครองประเทศแบบทุนนิยมเผด็จการตามแนวทางตะวันตก ซึ่งตรงข้ามกับหลักการสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์

สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศจีนอีกเกือบ 20 ปีหลังจากนั้น จึงเป็นการแย่งชิงอำนาจกันเพื่อปกครองประเทศอย่างรุนแรงระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งนำโดยเจียงไคเช็ก (ซึ่งกุมอำนาจรัฐขณะนั้น) กับพรรคคอม มิวนิสต์จีน นำโดยเมาเซตุง (ซึ่งมีสถานะเป็นประชาชนธรรมดา)

...

...เป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจต่อเนื่องที่ยาวนานมาก มีประชาชนจีนบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมาก โดยในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นฝ่ายชนะ

ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงเมาเซตุงเข้ามามีอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์จีนประมาณช่วงปี 1930 นั้นเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นยาวนานน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งเพราะหลักการความเชื่อการปฏิบัติความรักชาติ ภาวะผู้นำของพรรคและเมาเซตุงนั้นเป็นรากฐานปลูกฝังให้จีนมีความก้าวหน้า มั่นคงได้อย่างเหลือเชื่อในทุกวันนี้

เมาเซตุง มาจากครอบครัวธรรมดา จบจากมหาวิทยาลัยในมณฑลหูหนาน แต่เป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้รอบด้านอย่างมาก มีความเก่งทางด้านบทกวี การปกครอง จิตวิทยา ยุทธการการทหาร ภาวะผู้นำ ความกล้า การเสียสละ คุณ สมบัติที่มีอยู่อย่างครบถ้วนเหล่านี้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เมาเซตุงเป็นที่ยอมรับให้เป็นผู้นำปกครองประเทศที่มีจำนวนประชากรหลายร้อยล้านคน

พรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงเริ่มต้นขาดแคลนทุกอย่างที่จำเป็น (กำลังทหาร อาวุธ เงินทอง เสบียง อาหาร หลักการปกครองทางทหาร) ที่จะต่อสู้กับรัฐบาลเจียงไคเช็ก เมาเซตุงพยายามเผยแพร่หลักการระบบคอมมิวนิสต์ของเลนิน ในช่วงแรก ด้วยการรวบรวมชาวบ้านทั่วไปในการปฏิวัติ เพื่อต่อต้านรัฐบาล เจียงไคเช็กต้องล้มลุกคลุกคลาน หลบหนีการตามล่าของทหารอย่างหัวซุกหัวซุนไปตามเมืองต่างๆที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลของจีน

...เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ว่าสมาชิกและกองทหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยิ่งถูกปราบมากเท่าไหร่ ยิ่งกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ และแพร่กระจายไปตามเมืองต่างๆทั่วทั้งประเทศจีน

ช่วงปี 1900 เป็นต้นมา ประเทศจีนในสถานะผู้แพ้สงครามฝิ่น บอบช้ำทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ประชาชนทั่วไปอยู่ในสภาวะยากจนและขาดแคลน แถมถูกรีดเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อจ่ายค่าปฏิกรรม สงคราม

...

ที่ดินเป็นของนายทุนเกือบทั้งหมด ชาวนามีสภาพเป็นผู้ขายแรงงาน เพาะปลูกได้แต่ไม่พอกิน เพราะนายทุนเจ้าของที่นา ทารุณกดขี่ รีดนาทาเร้น ซ้ำเติมด้วยน้ำท่วมรุนแรงในหลายมณฑล และภาวะแห้งแล้งขาดฝนในอีกหลายมณฑล

ตามหัวเมืองห่างไกลปักกิ่ง หน่วยทหารของรัฐบาลได้ตั้งตนเป็นใหญ่ (เรียกว่า ขุนศึกค่ายต่างๆ) ประกาศไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง และใช้อำนาจขูดรีดเก็บภาษีจากประชาชนตามอำเภอใจ.

หมอดื้อ